

ความใฝ่พระราชหฤทัยในการเรียนรู้ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีมาแต่ยังทรงพระเยาว์ เด็กทั่วๆไปมีบิดามารดาเป็นครูคนแรกฉันใด พระองค์ท่านก็เช่นเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเปรียบเสมือนปฐมาจารย์ของพระองค์ ทรงซึมซับพระนิสัยใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาจากพระราชบิดาและพระราชมารดา เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงพัฒนาท้องที่ใดก็ตาม จะทรงศึกษาลักษณะพื้นที่และสภาพแวดล้อมของที่นั้นๆ ก่อนเสมอ ทรงปลูกฝังเรื่องความรักธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ทรงสอนให้รู้จักวิธีการคิดอย่างเป็นระบบ
ในการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานโดยทางรถยนต์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระชนมายุประมาณ 7-8 พรรษา และได้โดยเสด็จในรถด้วย ทรงสอนให้พระราชโอรสและพระราชธิดารู้จักวิธีการคำนวณเวลาจากระยะทางและความเร็ว สภาพภูมิประเทศที่เห็น ถ้าเป็นเวลากลางคืนก็จะทรงสอนให้รู้จักดาวต่างๆในท้องฟ้า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจึงทรงได้รับการปลูกฝังพระนิสัยช่างสังเกตให้รู้จักสนพระทัยใฝ่เรียนรู้จากสิ่งรอบด้านที่ได้พบเห็น ไม่เพียงความรู้จากในตำรา


สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงปลูกฝังให้พระราชโอรสพระราชธิดาทรงรักการอ่านหนังสือตั้งแต่พระชนมายุเพีย 6-7 พรรษา ทรงใช้วิธีหัดให้ทรงอ่านหนังสือวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น พระอภัยมณี อิเหนา รามเกียรติ์ เป็นต้น จนทรงท่องจำบทกลอนในวรรณคดีเหล่านี้ได้หลายบท
นอกจากนี้ยังทรงซื้อหนังสืออื่นๆ มาทรงอ่าน แล้วทรงเล่าพระราชทานพระราชโอรสพระราชธิดา เป็นต้นว่าหนังสือนิทานสำหรับเด็ก หนังสือประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ พุทธศาสนา เรื่องเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมทั้งของไทยและต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ ทรงสนับสนุนการจัดทำห้องสมุด สะสมหนังสือ โปรดให้เสด็จไปทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานต่างๆ ด้านการศึกษาเล่าเรียนทรงจัดหาครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาถวายพระอักษรวิชาต่างๆ ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงมีพื้นความรู้ทางวิชาการด้านอักษรศาสตร์ดีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อทรงเจริญพระชันษา นอกจากจะทรงศึกษาในชั้นเรียนตามปรกติแล้ว ยังทรงปรึกษาซักถามขอคำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิอยู่เสมอ ทั้งยังทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองด้วย เมื่อจะเสด็จพระราชดำเนินเยือนสถานที่หรือประเทศใด ก็จะทรงศึกษาประวัติความเป็นมา ชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของที่นั้นๆ ก่อน ทั้งจากตำรับตำราและจากผู้เชี่ยวชาญ


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มการศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา ในบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พุทธศักราช 2501 ขณะมีพระชนมายุ 3 พรรษา ทรงมีพระสหายร่วมชั้นเรียน 20 คน เป็นโอรสธิดาของพระบรมวงศานุวงศ์ และบุตรหลานข้าราชการ ตลอดจนมหาดเล็ก ผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้มาร่วมเรียนด้วยโดยปราศจากชั้นวรรณะ วิชาที่ทรงเรียนในชั้นอนุบาลนี้ คือ วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เลขคณิตและขับร้อง พระอาจารย์ที่ถวายพระอักษรขณะนั้น ได้แก่ อาจารย์ท่านผู้หญิงทัศนีย์ บุณยคุปต์ อาจารย์ท่านผู้หญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ และอาจารย์ท่านผู้หญิงสุนามัน ประนิช ทั้งนี้ ปรากฎว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดโรงเรียน พระอาจารย์ และพระสหาย เป็นอันดี
เมื่อทรงเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ได้ทรงสอบร่วมกับนักเรียนทั่วประเทศ โดยใช้ข้อสอบของกระทรวงศึกษาธิการ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสอบได้ที่หนึ่ง ได้คะแนนรวมร้อยละ 96.60 อันนับว่าเป็นคะแนนสูงสุดสำหรับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่เจ็ด จึงทรงได้รับพระราชทานรางวัลเรียนดีจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานแสดงศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 31 ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2511
ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นี้ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระปรีชาสามารถในวิชาแทบทุกด้าน เช่น ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รำไทย ดนตรีไทย และวาดเขียน เป็นต้น นอกจากนี้ยังโปรดการอ่านหนังสือและการทรงพระอักษรมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และทรงพระปรีชาสามารถในการประพันธ์ร้อยแก้วและร้อยกรอง ทรงเริ่มบทพระนิพนธ์ต่างๆ ตั้งแต่เมื่อ พระชนมายุ 12 พรรษา ต่อมา บทพระนิพนธ์เหล่านี้ ได้รับการตีพิมพ์แพร่หลายในหนังสือหลายเล่ม ตัวอย่างเช่น เรื่อง “อยุธยา” “เจ้าครอกวัดโพธิ์” “ศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร” เป็นต้น บทพระนิพนธ์ที่รู้จักกันดีคือ “พุทธศาสนสุภาษิตคำโคลง” ซึ่งทรงถอดมาจากภาษาบาลี และ “กษัตริยานุสรณ์” ซึ่งทรงพระนิพนธ์เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวัน


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทรงสอบไล่ได้เป็นที่หนึ่งของประเทศแผนกศิลปะ ประจำปีการศึกษา 2515 ได้คะแนนรวมร้อยละ 89.30 หลังจากนั้น ทรงสอบเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ทรงเลือกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอันดับที่หนึ่ง ผลการสอบปรากฏว่าทรงได้ที่ 4 เมื่อทรงเข้าศึกษาเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงเลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอก วิชาภาษาไทยและวิชาภาษาบาลี - สันสกฤตเป็นวิชาโท ทรงได้รับรางวัลคะแนนยอดเยี่ยมในวิชาต่างๆ อยู่เสมอ อาทิ รางวัลคะแนนยอดเยี่ยมวิชาภาษาฝรั่งเศส และวิชาภาษาไทย
นอกจากพระราชภารกิจในฐานะสมเด็จพระเจ้าลูกเธอแล้ว ยังต้องทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์เองในฐานะสมเด็จเจ้าฟ้า ตลอดจนทรงรับผิดชอบพระราชกรณียกิจต่างๆ แทนพระองค์ตามที่ทรงได้รับมอบหมาย ทรงสามารถปฏิบัติได้อย่างดี จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงร่วมงานพระราชพิธีในต่างประเทศ โดยการเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงร่วมพิธีพระบรมศพพระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟ ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2516 ขณะมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา
กิจกรรมอื่นๆ ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเข้าร่วม คือ ทรงสมัครเป็นสมาชิกชมรมดนตรีไทย และชมรมวรรณศิลป์ ของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประชาชนทั่วไปมักจะได้เห็นภาพที่ทรงดนตรีไทยในโอกาสต่างๆ ของมหาวิทยาลัยอยู่เนืองๆ โดยโปรดทรงซอด้วงเป็นพิเศษ แม้ว่าจะทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิดก็ตาม ส่วนทางด้านกิจกรรมของชมรมวรรณศิลป์ นั้นเคยทรงร่วมกับพระสหายอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้แทนของคณะอักษรศาสตร์ แข่งขันกลอนสดระหว่างคณะในมหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลชนะเลิศมาแล้ว ก่อนการแข่งขันนั้นต้องทรงสละเวลาในชั่วโมงที่ว่างเรียนมาทรงซ้อมกลอน และทรงแสดงความเป็นปฏิภาณกวีให้บรรดาพระสหายเห็นเป็นที่ประจักษ์ในการซ้อมอยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากที่ทรงสนพระทัยในวรรณกรรมต่างๆ มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
นอกจากกิจกรรมของทางสโมสรนิสิตจุฬาฯ แล้วยังทรงเป็นสมาชิกชมรมภาษาไทย ชมรมภาษาตะวันออก และชมรมประวัติศาสตร์ในคณะอักษรศาสตร์ ทั้งยังทรงเป็นกองบรรณาธิการวารสาร "อักษรศาสตร์พิจารณ์" ของชุมนุมวิชาการคณะอักษรศาสตร์อีกด้วย ในบางครั้งก็พระราชทานบทพระราชนิพนธ์หลายเรื่องลงพิมพ์ในวารสารดังกล่าว เช่นเรื่อง "การเดินทางไปร่วมพิธีพระบรมศพพระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟ แห่งประเทศสวีเดน" และร้อยกรองต่างๆ


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับฉายาว่าเป็น "หนอนหนังสือ" นอกจากจะสนพระทัยในการอ่านหนังสืออย่างจริงจังแล้ว ยังทรงเป็นนักสะสมหนังสือด้วย หนังสือที่มีคุณค่าบางเล่ม ซึ่งไม่ทรงมีแต่พระสหายมี ก็จะทรงยืมหนังสือเหล่านั้นจากพระสหายไปอ่าน เพื่อมิให้พลาดหนังสือเล่มนั้นไป การอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากทำให้ทรงรอบรู้วิชาการต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาไทย และภาษาตะวันออกเป็นอย่างดี
สิ่งสนับสนุนการศึกษาประการหนึ่ง ก็คือพระพลานามัยอันสมบูรณ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดกีฬา และการออกกำลังกายต่างๆ ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น หากมีการแข่งขันกีฬาก็จะทรงเข้าร่วมด้วยอย่างเต็มพระทัย เคยทรงร่วมการแข่งขันฟุตบอลในคณะอักษรศาสตร์ และทรงร่วมทีมนิสิตน้องใหม่ชักเย่อกับทีมอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทรงปฏิบัติด้วยความร่าเริงแจ่มใส เป็นที่ประทับใจแก่บรรดาพระสหายรุ่นพี่และรุ่นน้องอย่างยิ่ง
ในพุทธศักราช 2520 (ปีการศึกษา 2519) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสำเร็จการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงได้รับพระราชทานปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และทรงได้รับพระราชทานรางวัลเหรียญทอง โดยทรงสอบได้คะแนนสูงสุดในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ และยังทรงสอบได้เป็นที่ 1 ของชั้นด้วย


หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ในปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงสมัครเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยศิลปากรพร้อมกันสองแห่ง ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก) ของมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2522 และปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาบาลี-สันสกฤต) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2524 จากนั้นได้ทรงสมัครเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอก สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2524 ทรงสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง ได้รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต ในเดือนตุลาคม 2529 ทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
นอกเหนือจากความรู้ที่ทรงได้รับจากหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสถาบันการศึกษาต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ยังทรงใฝ่พระราชหฤทัยศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับวิทยาการแขนงอื่นๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อทรงนำไปใช้ประกอบพระราชวิจารณญาณในการช่วยเหลือราษฎรตามรอยพระยุคลบาท และเพื่อทรงแบ่งเบาพระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงศึกษาเพิ่มพูนความรู้ทั้งด้านทรัพยากร การชลประทาน และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยทรงเข้าร่วมการอบรมฝึกภาคสนาม การประชุม สัมมนา และการศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมาก เช่น ด้านการสำรวจและแผนที่ การฝึกปฏิบัติด้านคอมพิวเตอร์ ด้านภาพถ่ายจากดาวเทียม โภชนาการ ภาษาและวัฒนธรรมต่างประเทศ ได้ทรงใช้วิชาการเหล่านี้ในเชิงบูรณาการให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติตลอดมา